คงยากที่จะปฏิเสธว่าประเทศเกาหลีใต้ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่โดดเด่นในสายตาชาวโลก ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมล้วนหล่อหลอมให้เกาหลีใต้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและน่าสนใจ ใครต่อใครก็ต่างที่อยากจะไปสัมผัส นักท่องเที่ยวมากมายเดินทางไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ ตามเส้นทางสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม จนเห็นเพียงแค่เกาหลีใต้ในมุมเดิม ๆ ก็ทำให้เราอดจินตนาการถึงยุคอดีต ในแบบตามรอยซีรีน์เกาหลีกันเลยทีเดียว
1. พระราชวังคย็องบก (Gyeongbokgung Palace)
พระราชวังคย็องบก เป็นวังที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 5 วัง ในกรุงโซล สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1394 และเป็นพระราชวังหลักที่ใช้ประทับว่าราชการของกษัตริย์ราชวงศ์โชซอนมาโดยตลอด เดิมทีมีกว่า 200 อาคาร แต่โดนเผาและทุบทำลายไปเป็นจำนวนมากโดยกองทัพญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1592 ปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยใช้ชิ้นส่วนของอาคารเดิมที่หลงเหลืออยู่เข้ากับวัสดุใหม่
2. คลองช
คลองชองเกชอน นี้สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ายองโจแห่งราชวงศ์โชชอน อายุเก่าแก่กว่า 600 ปี เดิมเป็นคลองน้ำเน่า สลัมเพียบ รถติดสุดๆ จนมีการสร้างทางด่วนทับคลอง ไม่มีใครอยากจะเดินผ่าน ต่อมาปี 2003 รัฐบาลได้บูรณะคลองใหม่ ทุบทางด่วนทิ้ง แล้วทุ่มงบกว่า 386 พันล้านวอน พัฒนาจนน้ำใสสะอาด เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสุดฮิตของชาวกรุงโซลและนักท่องเที่ยว
3. อนุสรณ์สถานแห่งสงครามเกาหลี (The War Memorial of Korea)
อนุสรณ์สถานแห่งสงครามเกาหลี (The War Memorial of Korea) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังรำลึกถึงความเสียสละของเหล่าทหารที่จากไปในระหว่างสงครามเกาหลี หลายคนคงอาจไม่รู้ว่าเหตุผลที่คนไทยสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวที่เกาหลีใต้ได้นาน 90 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า เป็นเพราะรัฐบาลเกาหลีต้องการตอบแทนทางฝั่งไทยที่ส่งทหารมาร่วมรบในสงคราม
4. สวนกุหลาบที่ Dongdaemun Design Plaza (DDP)
ดอกกุหลาบไฟ LED จำนวน 25,550 ดอก ได้ถูกนำมาจัดแสดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการฉลองครบรอบ 70 ปี ที่เกาหลีประกาศเอกราชจากการยึดครองของญี่ปุ่น (365 วัน X 70 ปี = 25,550 ดอก) เปิดไฟทุกวันตั้งแต่เวลา 1 ทุ่ม จนถึง 4 ทุ่ม (แต่เคยไปมา 5 ทุ่มแล้วก็ยังเปิดอยู่นะ) อันนี้ขอแนะนำว่าถ้าใครไม่มีเวลาให้มาดูตอนกลางวันก็จะได้อีกบรรยากาศหนึ่ง
5.วัดบงวอนซา (Bongwonsa Temple)
วัดบงวอนซา เป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายแทโก (Taego Order) ในเกาหลี (ที่เกาหลีมีศาสนาพุทธหลัก ๆ อยู่ 2 นิกาย) พระสงฆ์นิกายนี้สามารถแต่งงานได้ วัดบงวอนซาตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นเขาอันซาน (Ansan Mountain) ซึ่งใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยยอนเซ (Yonsei University)
วัดบงอึนซา นั้นนับว่าวัดเก่าแก่อย่างมาก สร้างมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.794 ในสมัยอาณาจักชิลลา ปกครองบริเวณแทบนี้ ซึ่งปัจจุบันนั้นมันตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่สำคัญของกรุงโซล อย่างย่านกังนัม โดยมันเป็นวัดพุทธในนิกายมหายาน ที่จะต้องมีการกราบไหว้ในแบบ อัษฎางคประดิษฐ์ คือการให้ส่วนสำคัญของร่างกาย 8 ส่วนต้องสัมผัสพื้นในการกราบ หรือที่เราจะเห็นกันบ่อยในการกราบแบบเกาหลีโบราณตามซีรีย์นั่นเอง จึงทำให้วัดแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวชมเป้ฯอย่างมากซึ่ง วัดบงอึนซา นั้นจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมทุกวันในเวลา 5.00 น. จนถึง 21.00 น. โดยเป็นอีกวัดหนึ่งที่แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่กลับมีบรรยากาศที่แสนจะเงียบสงบเป็นอย่างมาก โดยมีไฮไลท์ที่สำคัญของวัดก็คือ พระพุทธรูปหินอ่อนขนาดใหญ่ ที่ชาวเกาหลีให้ความเคารพมาสักการะกันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน นอกจากนี้แล้วสถาปัตยกรรมต่างๆ ของวัด ทั้งวิหาร โบสถ์ และหอระฆังต่างๆ ก็เป็นแบบศิลปะในยุคชิลลาแทบทั้งสิ้น ทำให้วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้แล้ว วันบงอึนซา ยังเป็นวัดที่เปิดเป็น Temple Stay หรือการมาพำนักที่วัดอีกด้วย โดยมีโปรแกรมหากหลายวันด้วยกัน ซึ่งในแต่ละวันนั้นก็มีกิจวัติที่จะต้องทำทังการตื่นมาทำวัตรตั้งแต่เวลาตี 4 และทานอาหารเช้า จากนั้นก็จะมีการฝึกสมาธิในแบบ Summudo เพื่อชำระล้างจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ นอกจากนี้แล้วยังมีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอีกมากมายหลายอย่างทั้ง การยิงธนูเพื่อทำสมาธิ หรือจะเป็นการการสอนชงชาแบบโบราณอีกด้วย ซึ่งจากสถิติแล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมมาพักแบบ Temple Stay เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
6. พระราชวังชังด็อก (Changdeokgung Palace)
พระราชวังชางด๊อกกุง หรือ พระราชวังชางด๊อก
ชังด็อกกุง หรือ พระราชวังชังด็อก เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังที่สำคัญที่สุดของเกาหลี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โชซ็อน เมื่อปี พ.ศ. 1948 (ค.ศ. 1405) แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 1955 (ค.ศ. 1412) ด้วยเหตุที่พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังคย็องบก (Kyeongbok Palace) ผู้คนจึงเรียกพระราชวังแห่งนี้ว่าพระราชวังตะวันออก (East Palace) ซึ่งต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าซอนโจ กษัตริย์องค์ที่ 14 แห่งโชซ็อนได้โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหญ้าของพระราชวังเป็น 500,000 ตารางเมตร
อินจ็องจอน (Injeongjeon) คือชื่อของพระที่นั่งหลักที่อยู่ในพระราชวังชังด็อก อีกวังหนึ่งที่อยู่ในเมืองเก่าของกรุงโซล วังแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังคย็องบก ผู้คนจึงเรียกพระราชวังแห่งนี้ว่าพระราชวังตะวันออก
เกาหลีโดนญี่ปุ่นรุกรานมา 2 ครั้งใหญ่ (จริง ๆ ก็มีอยู่เรื่อยมา) ก็คือช่วงสมัยต้นราชวงศ์โชซอน (โดยขุนศึกญี่ปุ่น โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ) และสมัยช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แค่ครั้งแรกกองทัพญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาเผาทำลายวังต่าง ๆ ในโซลเกือบทั้งหมด รวมทั้งพระราชวังชังด็อกด้วย เมื่อสงครามสงบพระราชวังชังด็อกก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ แล้วใช้เป็นที่ว่าราชการของกษัตริย์ในระหว่างที่ทำการบูรณะพระราชวังคย็องบก
สิ่งที่เป็น The Must ของการมาเที่ยววังนี้ก็คือ “สวนลับ” (Secret Garden) นั่นเอง
สาเหตุที่เรียกอย่างนี้เพรว่าพระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังเคียงบก (Kyeongbok Palace) พระราชวังแห่งนี้เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ สวยงามมากในช่วงที่มีการปกครองด้วยระบบกษัตริย์ของเกาหลี ได้ถูกใช้เป็นที่ประทับขององค์กษัตริย์ ที่ว่าราชการ และที่ทำงานของขุนนาง โดยถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โชซอน เมื่อปี พ.ศ. 1948 (ค.ศ. 1405) แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 1955 (ค.ศ. 1412) ซึ่งในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) ขุนศึกญี่ปุ่น โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิได้เข้ารุกรานเกาหลี กินเวลายาวนานถึง 7 ปี พร้อมกับเผาทำลายพระราชวัง ซึ่งในปีนี้เองเป็นปีที่ฉลองครบรอบ 200 ปีแห่งการสถาปนาราชวงศ์ โดยหลังจากผ่านสงคราม 7 ปีไปแล้ว พระราชวังก็ได้รับการบูรณะขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2152 (ค.ศ. 1619) มีการปรับขยายสนามหญ้าของพระราชวังเป็น 500,000 ตาราง โดยพระเจ้าซอนโจ กษัตริย์องค์ที่ 14 แห่งโชซอน และองค์ชายควางแฮกุน แต่อีก 4 ปีต่อมา พระราชวังกลับเกิดเพลิงเผาวอดอีกครั้งในเหตุจราจลที่ขุนนางไม่พอใจองค์ชายควางแฮและก่อการยึดอำนาจ สถาปนาองค์ชายนึง
ยางขึ้นเป็นพระเจ้าอินโจ พร้อมกับเนรเทศองค์ชายควางแฮไปเกาะคังฮวา จนพระราชวังถูกโจมตีอีกครั้งจากจักรวรรดิชิง (ประเทศจีน) แต่หลังจากนั้นพระราชวังก็ได้รับการสร้างใหม่ให้อยู่ในสภาพดั้งเดิม
สิ่งก่อสร้างในพระราชวังชางด๊อกกุง
-ประตูดงฮวามุน(Donhwamun Gate)ประตูางเข้าหลักของพระราชวังถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1955 เป็นประตูที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังอยู่จนทุกวันนี้
-พิพิธภัณฑ์เดิมเป็นท้องพระโรงถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1948 สร้างขึ้นใหม่ในปี 1804 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์
-หอซอนจองจอนเป็นห้องทำงานของขุนนางฝ่ายปกครองสร้างในปี 1461 ถูกทำลายในสงครามอิมจินบูรณะปี พ.ศ. 2190
-ศาลาจูฮัมนู (คยูจังกัก) – หอจดหมายเหตุและหอแสดงภาพวาดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2319
-พระตำหนักอินชองชอน (Injeongieon Hall) อาคารหลักที่เป็นที่ประทับของกษัตริย์ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกว่าราชการ
-อุทยานพีวอน (Bewon) หรือฮูวอน (Huwon) หรือสวนลับ สวนต้องห้าม เป็นอุทยานที่ได้ชื่อว่าสวยและร่มรื่นที่สุด ตั้งอยู่ด้านหลังของพระราชวัง
7. โบสถ์เมียงดง (Myeongdong Cathedral)
Jeondong Cathedral จอนจู (전주 전동성당) โบสถ์คริสต์แห่งแรกของเกาหลี
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่านอกจากเมียงดงจะเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อของที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลีแล้ว ยังเป็นสถานที่อันสำคัญทางประวัติศาสตร์ทั้งสังคมและศาสนาอีกด้วย หากมาเดินช้อปปิ้งที่เมียงดง อยากให้เพื่อน ๆ เจียดเวลาสักครู่เดินขึ้นมาตามถนนสายหลัก ก็จะเจอโบสถ์คาทอลิกทางด้านขวามือ โบสถ์นี้มีชื่อเต็ม ๆ ว่า The Cathedral Church of the Virgin Mary of the Immaculate Conception แต่มันยาวไป ไม่มีใครเรียกหรอก เค้าเรียกกันสั้น ๆ ว่า “โบสถ์เมียงดง”
โบสถ์แห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1892 หรือตั้งแต่สมัยที่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกได้เริ่มเผยแผ่เข้ามาในคาบสมุทรเกาหลี (ตรงกับราชวงศ์โชซอน) มีเอกลักษณ์ที่สำคัญคือสร้างขึ้นจากอิฐแดงและกระจกสี
นอกจากโบสถ์นี้จะเป็นศูนย์กลางทางศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกให้กับประชาชนชาวเกาหลีแล้ว ที่นี่ยังเคยเป็นศูนย์กลางที่ประชาชนมาร่วมชุมนุมกันเพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารในช่วงปี ค.ศ. 1970-1980 และยังเป็นสถานที่หลบภัยของบรรดาผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนอีกด้วย แม้กระทั่งในปัจจุบัน บริเวณลานหน้าโบสถ์ก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่รวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่เนือง ๆ
8. สวนดอกไม้ที่ Olympic Park
Olympic Park สวนที่มีอะไรให้ดูมากกว่าต้นไม้ เพราะว่าเป็นเขตเมืองโบราณของอาณาจักรแพ็กเจ มีทั้งแนวกำแพงเมืองและพิพิธภัณฑ์ ใครสนใจมาเที่ยวที่นี่ให้นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Olympic Park Station เดินออกทางออกที่ 3 แล้วเดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอสวนกุหลาบและทุ่งดอกไม้
9. สวนฮานึล (Haneul Park)
สวนฮานึล หรือเรียกอีกชื่อว่า Sky Park (“ฮานึล” ในภาษาเกาหลีแปลว่า “ท้องฟ้า”) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะทั้ง 5 ที่เรียกรวมกันว่าสวนเวิลด์คัพ (World Cup Park)
สวนนี้สร้างขึ้นในโอกาสที่เกาหลีและญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพร่วมในการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อปี ค.ศ. 2002 โดยพื้นที่ตั้งของสวนทั้งหมดนี้เคยเป็นกองภูเขาขยะ ที่ไม่สามารถกำจัดได้ทันเนื่องจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของกรุงโซล ลองนึกภาพว่าตรงนั้นเคยเป็นกองขยะที่มีปริมาณมากถึง 92 ล้านตัน และใช้เวลากว่า 6 ปีในการปรับปรุงพื้นที่ตรงนี้ขึ้นมา ปัจจุบันบริเวณนี้ถูกสร้างให้เป็นสวนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังสามารถผลิตก๊าซที่เกิดจากการหมักหมมของขยะที่ถูกฝังอยู่เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้อีกด้วย
สวนฮานึลมีชื่อเสียงเนื่องจากอยู่บนภูเขา (ที่เกิดจากการถมกองขยะนั่นแหละ) สามารถเห็นวิวแม่น้ำฮันและวิวกรุงโซลฝั่งตะวันตกได้ นอกจากนี้ในฤดูใบไม้ร่วงของทุกปียังมีเทศกาลหญ้ามิสแคนทัส (ภาษาเกาหลีเรียกว่า “อ็อกแซ, 억새”) ที่จะบานสะพรั่งปลิวไสวไปตามลมหนาว เป็นวิวที่สวยและแปลกตาไปอีกแบบ
10.Korean Folk Village (한국민속촌)
Korean Folk Village เป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นเพื่อจำลองบรรยากาศ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่สมัยราชวงศ์โชซอนยุคปลาย (ราชวงศ์สุดท้ายของเกาหลี) บนเนื้อที่กว่า 615 ไร่ รวบรวมเอาบ้านและอาคารจากภูมิภาคต่าง ๆ ในเกาหลีมาไว้ในนี้ถึง 260 หลัง โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ภูเขา และลำธาร (ธรรมชาติแน่นอน เพราะต้องนั่งรถออกมาจากโซลประมาณ 1 ชม.) มีการสาธิตการใช้ชีวิตตามวิถีของคนในสมัยนั้น นักท่องเที่ยวสามารถร่วมทำเวิร์กช็อปต่าง ๆ เช่น ปั้นหม้อ (โอ่ง, ไห) ดูดวง ดูโหงวเฮ้งตามตำราเกาหลีโบราณ ขี่ม้า ฮ้าไฮ่ … อะไรก็ว่ากันไป นอกจากนี้ยังมีการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสืบสวนผู้ต้องสงสัย การแสดงระบำรำฟ้อนต่าง ๆ รับรองว่าเมื่อผ่านประตูเข้ามาจะรู้สึกว่าหลุดเข้ามาในอีกยุคหนึ่งเลยทีเดียว (พนักงานในนี้พูดภาษาเกาหลีโบราณหมด)
นอกจากนี้หมู่บ้านนี้ยังใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำซีรีส์แนวย้อนยุคอีกหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นติ่งตามละคร หรือว่าตากล้องแนวธรรมชาติก็มาเที่ยวได้โดยไม่ต้องกลัวเสียเที่ยว
11. ป่าแห่งกรุงโซล (Seoul Forest)
Seoul Forest (서울숲) เป็นสวนสาธารณะที่เปิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2005 แต่เดิมนั้นเป็นป่าธรรมชาติที่กษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอนใช้ล่าสัตว์ และเป็นพื้นที่ที่ใช้ตรวจแถวทหารและรวบรวมกำลังพล แต่เดิมพื้นที่ตรงนี้เรียกว่า “ตุ๊กซอม” (แปลว่า “เกาะตุ๊ก”, Ttuk Island) แต่มันไม่ใช่เกาะแต่อย่างใด แต่เป็นแหลมที่อยู่ระหว่างแม่น้ำฮันและคลองชองเกชอน จนทำให้ดูเหมือนเป็นเกาะ ส่วนชื่อ “เกาะตุ๊ก” นั้น ก็มิได้ตั้งขึ้นเพราะมีเจ้าของชื่อตุ๊กแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะสมัยโบราณนั้น เมื่อมีการตรวจแถวทหารหรือเคลื่อนขบวนจะมีการตั้งธง “ดุกกี (纛旗)” (เป็นชื่อของธง) คนสมัยนั้นจึงเรียกพื้นที่ตรงนี้ว่า “ดุกซอม” แล้วเพี้ยนมาเป็น “ตุ๊กซอม” ในปัจจุบัน
สวนสาธารณะแห่งนี้นอกจากจะมีต้นไม้และวิวเก๋ ๆ ให้ถ่ายรูปแล้ว ยังสามารถเช่ารถจักรยานปั่นรอบสวน หรือจะลงไปปั่นบนถนนเลียบแม่น้ำฮันก็จะได้เห็นวิวที่สวยไม่แพ้กัน